วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

นายจ้างต้องรับผิดในเงินเพิ่ม หรือไม่ พิจารณาจาก ?

ฎีกาที่  ๑๗๘๑๕/๒๕๕๕

                        โจทก์อุทธรณ์ว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโดยหนังสือเลิกจ้างมิได้ระบุว่าโจทก์กระทำผิดใดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๑) ถึง (๖) จำเลยจึงไม่อาจยกเหตุตามมาตราดังกล่าวมาโต้แย้งที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยและต้องถือว่าคดีของโจทก์ในประเด็นค่าชดเชยไม่มีข้อโต้แย้ง ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าสิทธิของเงินเพิ่มที่โจทก์ฟ้องมานั้นคดีของโจทก์มีปัญหาโต้แย้งอยู่ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย จึงไม่ต้องรับผิดในเงินเพิ่มให้โจทก์ เป็นการวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้เมื่อจำเลยมิได้ระบุเหตุผลหรือข้อโต้แย้งในเรื่องเงินเพิ่มในหนังสือเลิกจ้าง จึงไม่อาจยกขึ้นมาต่อสู้ได้ ดังนั้นจำเลยจึงต้องจ่ายเงินเพิ่มให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่าคดีนั้นได้ความว่าโจทก์ได้ฟ้องเรียกเงินค่าชดเชย โดยจำเลยได้ให้การต่อสู้และโต้แย้งมาว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว กรณียังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่าจำเลยจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินเพิ่ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น


วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ลงโทษโดยการตัดค่าจ้าง ทำได้หรือ ?

                        มีข้อถกเถียงกันว่า   กรณีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุว่า  “กรณีพนักงานกระทำผิดบริษัทฯ สามารถลงโทษโดยตัดค่าจ้างได้นะ”   สามารถใช้บังคับได้หรือไม่  จะขัดกับ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา ๗๖ ที่ระบุว่า ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา.........”  หรือไม่   ลองพิจารณาฎีกานี้เป็นแนวทางนะครับ

ฎีกาที่  ๑๔๐๓๖/๒๕๕๕
                        คำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการตัดค่าจ้างร้อยละ ๑๐ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงแม้จะปรากฏว่ามีประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๓๑ จะบัญญัติห้ามนายจ้างหักค่าจ้างลูกจ้างก็ตาม  แต่การที่จำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ไม่เชื่อฟังและแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชาไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของบริษัท ไม่อุทิศเวลาของตนให้แก่การงาน ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานด้วยการตัดค่าจ้างของเดือน กันยายน ๒๕๔๘ ในอัตราร้อยละ ๑๐ นั้น การลงโทษของจำเลยมิใช่เป็นการหักค่าจ้างโจทก์แต่เป็นกรณีลงโทษตามวินัยการทำงานซึ่งได้กำหนดไว้ชัดเจนแล้วตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการงาน ทั้งไม่ปรากฏว่าคำสั่งตัดค่าจ้างของจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ ดังนั้นคำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการตัดค่าจ้างร้อยละ ๑๐ ตามเอกสารหมาย ล.๑๗ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย   

หมายเหตุ  ฎีกานี้วินิจฉัยว่า ข้อบังคับเขียนว่าลงโทษโดยตัดค่าจ้างเป็นกรณีการลงโทษทางวินัย  ไม่ใช่เป็นการหักค่าจ้าง  และนายจ้างมีเหตุในการลงโทษดังกล่าวและเป็นการลงโทษพอสมควรแก่เหตุ จึงสามารถลงโทษโดยการตัดค่าจ้างได้