วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พนักงานนวด (สปา) เป็นลูกจ้างหรือไม่ เพราะอะไร ?

ฎีกาที่  15164/2557
                 ศาลแรงงานภาค 8 รับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำงานเป็นพนักงานนวดที่บริษัทจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ เมื่อโจทก์นวดลูกค้าได้ค่าแรงมาก็แบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลย การเข้าทำงานบริษัทจำเลยพนักงานต้องกรอกใบสมัครงาน ต้องผ่านการสัมภาษณ์ หากมีคุณสมบัติตรงตามที่จำเลยต้องการจำเลยจะรับเข้าทำงาน จำเลยเป็นผู้จัดสถานที่ทำงานให้พนักงาน อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ในการทำงานเช่นน้ำมัน ครีม ผ้าขนหนู เสื้อคลุม จำเลยจะจัดเตรียมไว้ให้พนักงาน โจทก์ได้รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงๆ ละ 80.- บาท ทำงานเฉลี่ยวันละ 4 ชั่วโมง คิดเป็นค้าจ้างวันละ 320.- บาท มีกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 3 และวันที่ 18 ของเดือน และจำเลยไม่มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ว่าด้วยการมาทำงาน การลาหยุด โจทก์มาทำงานหรือไม่ก็ได้ แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ถูกหักเงินประกันสังคม 650.-บาท เท่ากับโจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนละ 6,500.-บาท และเป็นค่าจ้างที่จำเลยคำนวณตามผลงานที่ทำ โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลยตามผลงาน
                 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยหรือไม่ เห็นว่า (1) จำเลยไม่มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานว่าด้วยการมาทำงาน การลาหยุด และวันหยุด (2) การมาทำงานโจทก์จะมาทำงานหรือไม่ก็ได้ เมื่อมาทำงานแล้วโจทก์จะกลับไปก็ได้เพียงแต่แจ้งให้ผู้จัดการของจำเลยทราบ  (3) วันใดที่โจทก์ไม่มาทำงานก็จะไม่มีค่าแรงแบ่งให้  (4) หากจำเลยขาดงานโดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการของจำเลยทราบก็ไม่มีบทลงโทษโจทก์   จำเลยไม่มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ เมื่อพนักงานของจำเลยเข้าทำงานรวมถึงโจทก์ด้วยจำเลยจะจัดคิวก่อนหลังให้แก่พนักงาน ซึ่งการจัดคิวของจำเลยมิใช่การใช้อำนาจบังคับบัญชาแต่เป็นการจัดอันดับก่อนหลังของพนักงานเพื่อรักษาระเบียบทั้งป้องกันการทะเลาะกัน  เมื่อจำเลยไม่มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์อย่างลูกจ้าง  ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมิใช่นายจ้างลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่ศาลแรงงานภาค 8 วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยนั้น จึงไม่ต้องความเห็นของศาลฎีกา 
                 พิพากษากลับ  ยกฟ้องโจทก์