วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

เลิกจ้างกรรมการลูกจ้างโดยไม่ขอศาล ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ฎีกาที่  9832-9836/2555
                         ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างของจำเลย  และเป็นกรรมการลูกจ้างของจำเลย วันที่ 3 ตุลาคม 2550 โจทก์ทั้งห้าได้ลงชื่อในช่องรับเงินในเอกสารแผ่นที่ 2 ของเอกสาร ล.1 ถึง ล.5  เมื่อพิจารณาตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5  ปรากฏว่าจำเลยได้ยกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ทั้งห้า จำเลยได้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้าง ค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำปี โดยมีบันทึกท้ายหนังสือดังกล่าวว่าได้แจ้งให้โจทก์ทั้งห้าแล้ว  แม้มีเพียงโจทก์ที่ 5 ลงชื่อรับทราบ ส่วนโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 4 ไม่ประสงค์จะลงนามต่อหน้าพยาน  แต่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้าได้ลงชื่อในช่องผู้รับเงิน  แม้หนังสือดังกล่าวจะระบุว่าเป็นหนังสือเลิกสัญญาจ้าง  ย่อมฟังได้ว่าฝ่ายจำเลยเสนอยกเลิกสัญญาจ้างโดยยินยอมจ่ายเงินตามที่เสนอและโจทก์ทั้งหน้าตกลงรับเงินตามที่จำเลยเสนอ  จึงพออนุโลมถือว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยตกลงกันให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงโดยโจทก์ทั้งห้ายินยอมรับเงินตามที่จำเลยเสนอ  กรณีจึงไม่ใช่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง
                        คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าว่า การที่โจทก์ทั้งห้าลงชื่อรับเงินไปจากจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5 เป็นการตกลงยินยอมให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยสิ้นสุดลง  ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518  หรือไม่  เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นกรรมการลูกจ้างของจำเลย ฉะนั้น  จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน  การที่จำเลยทำหนังสือยกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ทั้งห้าตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5  โดยยินยอมให้สิทธิประโยชน์ซึ่งโจทก์ทั้งห้ามีสิทธิได้รับตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายคุ้มครองแรงงานนั้น  เป็นการยกเลิกสัญญาจ้างเพียงฝ่ายเดียว และการที่โจทก์ทั้งห้าลงชื่อรับเงินสิทธิประโยชน์ดังกล่าวในเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5 โดยไม่ปรากฏข้อความใดๆ ว่าโจทก์ทั้งห้าขอลาออกจากการเป็นลูกจ้าง  จึงยังไม่ถือได้ว่าโจทก์ทั้งห้ายินยอมลาออกด้วยความสมัครใจ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน  จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ทั้งห้าลงชื่อในช่องผู้รับเงินในเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5 พออนุโลมว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน  โดยตกลงว่าให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าฟังขึ้น  จำเลยต้องรับโจทก์ทั้งห้ากลับเข้าทำงานต่อไป แต่เมื่อระหว่างเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าไม่ได้ทำงานให้กับจำเลย  จึงนำเอาระยะเวลาดังกล่าวรวมเข้าเป็นอายุงานด้วยไม่ได้ คงนับอายุงานใหม่ต่อจากอายุงานเดิมที่คำนวณถึงวันก่อนวันเลิกจ้างนั้น
                        ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าต่อไปว่า  จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างนับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะรับโจทก์ทั้งห้ากลับเข้าทำงานหรือไม่  เห็นว่า  โจทก์ทั้งห้าบรรยายฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเนื่องมาจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการตั้งประเด็นโดยตรงว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน จึงเป็นการขอให้ชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งประพาณิชย์ มาตรา 575 เมื่อจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงานเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  โจทก์ทั้งห้าจึงเรียกร้องค่าเสียหายระหว่างที่ถูกเลิกจ้างจากจำเลยได้  แต่การกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้เพียงใดเป็นดุลพินิจอันเป็นข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่สามารถกำหนดเองได้  จึงย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
                        พิพากษากลับ ให้จำเลยรับโจทก์ทั้งหน้ากลับเข้าทำงานต่อไปในตำแหน่งหน้าที่ อัตราค่าจ้าง  และสวัสดิการไม่ต่ำกว่าเดิม กับให้นับอายุงานใหม่ของโจทก์ทั้งห้าติดต่ออายุงานที่คำนวณถึงวันที่ 3 ตุลาคา 2550 ซึ่งเป็นวันก่อนเลิกจ้าง และให้ศาลแรงงานกลางพิจารณากำหนดค่าเสียหายในช่วงระยะเวลาเลิกจ้างและพิพากษาประเด็นนี้ใหม่ตามรูปคดี