ฎีกาที่ ๓๕๕๓/๒๕๕๖
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่
๒ มีความสัมพันธ์ในทางชู้สาวกับพนักงานอันเป็นการผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง
และหนังสือเลิกจ้างระบุว่าจำเลยที่ ๒
ประพฤติตนไม่เหมาะสมเป็นเหตุการเลิกจ้างแล้วนั้น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสาม (เดิม) บัญญัติว่า
ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง
ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุมาตรา ๑๑๙ ขึ้นอ้างภายหลังไม่ได้
เมื่อโจทก์ระบุเหตุผลในหนังสือเลิกจ้างไว้เพียงว่าจำเลยที่ ๒ ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับการเป็นพนักงาน
โดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างว่าการประพฤติตนไม่เหมาะสมกับการเป็นพนักงานของจำเลยที่
๒ นั้นประพฤติตนในรายละเอียดอย่างไรจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งจนถึงเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ จำเลยที่
๒ ย่อมไม่เข้าใจว่าตนถูกเลิกจ้างเพราะประพฤติไม่เหมาะสมอย่างใด
เมื่อโจทก์ไม่ระบุเหตุผลแห่งการเลิกจ้างว่าจำเลยที่ ๒ มีความสัมพันธ์ในทางชู้สาวอันเป็นเหตุผิดวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย
จ.๑ ดังนั้นโจทก์จะยกเหตุดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสาม (เดิม)ได้ไม่
โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่จำเลยที่
๒ คำสั่งของจำเลยที่ ๑ และคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว
หมายเหตุ มาตรา 17 วรรคสาม
ถูกยกเลิก โดยได้นำมาระบุในมาตรา 119 วรรคท้าย “
การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างหรือไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะเลิกจ้าง
นายจ้างจะยกเหตุนั้นขึ้นอ้างภายหลังไม่ได้ “