ฎีกาที่ ๓๐๐๓-๓๐๐๔/๒๕๕๖
ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่า
จำเลยที่ ๑ ดำเนินกิจการประกอบโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่และติดตั้งแท่นเจาะ จำเลยที่
๑
ไม่ต้องการว่าจ้างลูกจ้างด้วยตนเองเพราะเกรงความรับผิดในฐานะนายจ้างจึงทำสัญญาจ้างจำเลยที่
๒ ซึ่งมิใช่ผู้รับอนุญาตจัดหางาน (มิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางาน)
ไปว่าจ้างลูกจ้างและส่งมาทำงานในกระบวนการผลิตให้แก่จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๒
ธันวาคม ๒๕๔๗ จำเลยที่ ๒ รับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างแต่ก่อนทำสัญญาจ้าง
โจทก์จะต้องไปทดสอบงานกับจำเลยที่ ๑ เมื่อผ่านการทดสอบแล้วจำเลยที่ ๒
ส่งโจทก์ไปปฏิบัติงานที่บริษัทจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งหัวหน้างานประกอบติดตั้งแท่นเจาะ
ได้รับค่าจ้างชั่วโมงละ ๗๐ บาท โดยทำงานภายใต้ระเบียบข้อบังคับของจำเลยทั้งสอง
ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ แม้จำเลยที่ ๑
จะไม่ใช่ผู้ว่าจ้างโจทก์โดยตรงก็ตาม แต่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
มาตรา ๕ ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุ ความหมายของคำว่า “นายจ้าง” ตาม
(๓) ให้ถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นนายจ้างของลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ด้วย จำเลยที่ ๑ จึงเป็นนายจ้างของโจทก์
โจทก์ทำงานในตำแหน่งหัวหน้างานประกอบติดตั้งแท่นเจาะซึ่งมีลักษณะเป็นงานถาวร
การที่จำเลยทั้งสองทำสัญญาจ้างโจทก์โดยมีกำหนดเวลาแต่จำเลยทั้งสองได้ต่อสัญญาจ้างโจทก์ทุกปีเรื่อยมา
ถือเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสาม เมื่อเดือนตุลาคม
๒๕๔๙โจทก์เป็นผู้แทนลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับเงินโบนัสและสวัสดิการต่อจำเลยที่
๒ แต่ตกลงกันไม่ได้ พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้นัดเจรจารวม ๔ ครั้ง คือวันที่
๑๔ วันที่ ๒๒ วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ และวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๐ แต่ในวันที่ ๒๘
ธันวาคม ๒๕๔๙ จำเลยทั้งสองยึดบัตรพนักงานและไม่ให้โจทก์เข้าทำงานในบริษัทจำเลยที่
๑ พฤติกรรมดังกล่าวของจำเลยทั้งสองถือเป็นการเลิกจ้างโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๒
อ้างว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่สามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรตั้งแต่วันที่
๓ ถึงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๐
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์แล้ว ถือไม่ได้ว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรแต่อย่างใด
การเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ข้อที่ ๒.๑
ว่านาย ส. พยานจำเลยที่ ๑ เบิกความว่า “โจทก์ได้รับเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ
จากจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่บริษัทจำเลยที่ ๑” สอดคล้องกับคำเบิกความของนายนที
ขันทอง ผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ ๒ ที่เบิกความว่า “โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่
๒ โดยเข้าทำงานตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ ในตำแหน่งหัวหน้างานได้รับค่าจ้างชั่วโมงละ ๗๐ บาท”
โจทก์เองก็ยอมรับว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ มิใช่จำเลยที่ ๑
และที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ข้อ.๒.๒ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒
เป็นเพียงการว่าจ้างให้จำเลยที่ ๒ ทำการงานที่ว่าจ้างอันมีลักษณะเป็นการจ้างทำของ
ในเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นพนักงานของจำเลยที่ ๒
ที่เป็นผู้รับจ้างของจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาที่มีต่อกัน
ผลจึงสรุปได้ว่าโจทก์เป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่ ๒
เท่านั้นมิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ด้วย กับที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ข้อ.๒.๓
ว่าตามสัญญาจ้างบริการข้อ.๒ พันธะผูกพันของผู้รับจ้างข้อ ๒.๗ และข้อ.๒.๘ ได้มีเงื่อนไขระหว่างกันกำหนดให้จำเลยที่
๑ มิต้องร่วมจ่ายเงินชดเชยให้แก่ลูกจ้างของตนด้วย เมื่อจำเลยที่ ๒
เป็นนายจ้างของโจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับภาระความรับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียวนั้น
เห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในประเด็นที่ศาลแรงงานภาค ๒ ได้วินิจฉัยโดยชอบแล้ว
จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย อุทธรณ์ของจำเลยที่
๑ ฟังไม่ขึ้น