ฎีกาที่
๒๙๖๒/๒๕๕๕
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเลิกจ้าง (ปัจจุบัน
ระบุในมาตรา ๑๑๙ วรรคท้าย (***แก้ไข พ.ศ.2551***)) กำหนดว่า
ในกรณีนายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้างโดยทำเป็นหนังสือ
หากนายจ้างประสงค์จะยกเหตุตามมาตรา ๑๑๙ ขึ้นอ้างเพื่อไม่จ่ายค่าชดเชย
นายจ้างต้องระบุเหตุดังกล่าวไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างด้วยมิฉะนั้นนายจ้างจะยกขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้
เห็นได้ว่าการบอกเลิกสัญญาจ้างโดยทำเป็นหนังสือต้องระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างโดยทำเป็นหนังสือและต้องระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างจำกัดเฉพาะการอ้างหรือข้อต่อสู้ที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยตามมาตรา
๑๑๙ เท่านั้น ดังนั้นแม้นายจ้างจะไม่ได้ระบุเหตุแห่งการเลิกสัญญาจ้างไว้นายจ้างก็ยกเหตุแห่งการเลิกจ้างขึ้นอ้างหรือต่อสู้ในคำให้การที่จะไม่จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้
การพิจารณาว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น
จะต้องพิจารณาว่ามีเหตุแห่งการเลิกจ้างหรือไม่
และเหตุดังกล่าวเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จำเลยเลิกจ้างโจทก์
เพราะโจทก์ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานโดยไม่ปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมในการขับรถ โดยขับรถด้วยความเร็วน่าหวาดเสียว
ไม่ควบคุมอารมณ์ในขณะขับรถ ละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เห็นว่าโจทก์เป็นพนักงานขับรถซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีหน้าที่สำคัญเพราะเป็นหน้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตร่างการและทรัพย์สินของผู้อื่นและผู้โดยสาร
จึงต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง ทั้งต้องให้ความร่วมมือในการทำงานเพื่อให้จำเลยสามารถบริหารจัดการเกี่ยวกับการจัดพนักงานขับรถได้
ก่อนโจทก์จะละทิ้งงาน จำเลยเคยตักเตือนโจทก์เรื่องการทำงาน
โจทก์ต้องปรับปรุงพฤติกรรมในการทำงานแต่โจทก์กับเพิกเฉย
ทั้งยังไม่ให้ความร่วมมือและละทิ้งงาน การกระทำของโจทก์ดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการของจำเลยและอาจก่อให้เกิดปัญหาในความไม่ปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่นได้
จำเลยจึงมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างโจทก์
การเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม