ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า
ผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้าง ผู้เป็นผู้แทนเจรจาของสหภาพแรงงาน ล. เมื่อวันที่ ๒
ตุลาคม ๒๕๔๙ สหภาพแรงงาน ล.
ยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้
ต่อมาผู้ร้องยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเช่นกัน
แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ นาย ท.
พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทำบันทึกและแจ้งให้ทั้งสองฝ่ายทราบโดยตลอดว่าระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่
๔ กันยายน ๒๕๔๗ ยังมีผลใช้บังคับ ห้ามมิให้นัดหยุดงานหรือปิดงาน
ทั้งนัดทั้งสองฝ่ายเจรจาครั้งต่อไปวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
แต่ปรากฏว่าลูกจ้างผู้ร้องนัดหยุดงานในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
ทั้งมิได้แจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและผู้ร้องทราบแล้ววินิจฉัยว่า
การนัดหยุดงานของลูกจ้างผู้ร้องเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘
การนัดหยุดงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย ลูกจ้างที่นัดหยุดงานย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง
ผู้คัดค้านเป็นผู้เข้าร่วมในการนัดหยุดงานอันมิชอบด้วยกฎหมาย
หลังจากมีการนัดหยุดงานเป็นต้นมาผู้คัดค้านอ้างว่าตนเป็นผู้แทนเจรจาข้อตกลง
จึงไม่จำต้องเข้าทำงานเลยซึ่งไม่ถูกต้อง
พฤติกรรมของผู้คัดค้านจึงมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะอนุญาตเลิกจ้าง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่าคำพิพากษาศาลแรงงานกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าคำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุม
แต่ศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ เห็นว่า
แม้การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบในคดีแรงงานไม่จำต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เนื่องจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒
ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะบัญญัติแล้วในมาตรา ๓๙ วรรคหนึ่ง
ดังนั้นแม้ศาลแรงงานจะมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาท
แต่ศาลแรงงานย่อมต้องพิจารณาพิพากษาไปถึงประเด็นแห่งคดีความตามคำคู่ความ
ผู้คัดค้ายื่นคำคัดค้านว่าคำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุมเนื่องจากมิได้ระบุถึงความผิดของผู้คัดค้านให้ชัดเจน
ทั้งมิได้ระบุความเสียหายหรือการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือการกระทำความผิดอาญาอย่างใด
ทำให้ผู้คัดค้านไม่สามารถต่อสู้คดีได้
จึงเป็นกรณีที่ผู้คัดค้านยกข้อต่อสู้เรื่องคำร้องเคลือบคลุมไว้แล้ว
แต่ศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ คำพิพากษาศาลแรงงานในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเอง ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า สหภาพแรงงาน
ล.ยื่นข้อเรียกร้องแก่ผู้ร้อง ต่อมาผู้ร้องยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงาน ล.
จนกระทั่งข้อเรียกร้องเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยของพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน
ผู้คัดค้านกับพวกนัดหยุดงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อันเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ ระเบียบ
คำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง
ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร
เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๓
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๕๘๓ จึงขอเลิกจ้างผู้คัดค้าน
เป็นการบรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาว่าผู้คัดค้านกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่ผู้ร้อง
ฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง
ข้ออ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือผู้คัดค้านกับพวกนัดหยุดงานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และมีคำขอบังคับให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้าน
เป็นคำร้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง
ประกอบพระราชบัญญัติจัดต้องศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑
ไม่เป็นคำร้องเคลือบคลุม อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านประการสุดท้ายว่ามีเหตุสมควรเลิกจ้างผู้คัดค้านหรือไม่
เห็นว่า การนัดหยุดงานเป็นการที่ลูกจ้างแต่ละคนที่ร่วมนัดหยุดงานต่างละทิ้งการงานตามปกติตนมีหน้าที่ปฏิบัติ
ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง ผู้คัดค้านซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ร้อง
เป็นกรรมการลูกจ้าง และเป็นผู้แทนเจรจาของสหภาพแรงงาน
ล.เข้าร่วมในการนัดหยุดงานกับลูกจ้างอื่นของผู้ร้องซึ่งเป็นการนัดหยุดงานที่ไม่แจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและผู้ร้องผู้เป็นนายจ้างทราบล่วงหน้าตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมา
นอกจากเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๗๔ วรรคสอง
ที่บัญญัติว่า “ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด
ห้ามมิให้นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงานโดยมิได้แจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทและอีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย
ยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่รับแจ้ง” ซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา
๑๓๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ การที่ผู้คัดค้านเข้าร่วมในการนัดหยุดงานยังมีผลกระทบกระเทือนต่อกิจการของผู้ร้องไม่ให้ดำเนินไปได้ตามปกติ
ย่อมทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย
เป็นกรณีผู้คัดค้านจงใจทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายประกอบกับผู้คัดค้านเข้าร่วมการนัดหยุดงานตั้งแต่วันที่
๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ จนถือวันฟ้อง (วันที่ ๘ ตุลาคาม ๒๕๕๑) ก็ยังไม่กลับเข้าทำงาน
จึงมีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้านได้
ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านต่อไปว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบ
หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องในกรณีร้ายแรงหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
อุทธรณ์ของผู้คัดค้านทุกข้อฟังไม่ขึ้น