ฎีกาที่
4748/2556
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า
จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 13 เป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
จำเลยที่ 14 และที่ 15 เป็นลูกจ้างของโจทก์
ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่หัวหน้ากะ จำเลยที่ 14 และที่ 15 ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าโจทก์เลิกจ้างเพราะจำเลยที่ 14 และที่ 15 ลงลายมือชื่อยื่นข้อเรียกร้อง
และเป็นผู้แทนเจรจา เป็นผู้จัดตั้งสหภาพแรงงาน เป็นสมาชิกและกรรมการสหภาพ
เป็นการเลิกจ้างในระหว่างเจรจาข้อเรียกร้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน
เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13
วินิจฉัยว่าการเลิกจ้างจำเลยที่ 14 และที่ 15
เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมารตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
พ.ศ.2518 ทั้งยังเป็นการเลิกจ้างในระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน
จึงมีคำสั่งข้อ.1 ให้โจทก์รับจำเลยที่ 14 และที่ 15 กลับเข้าทำงานกับให้จ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างถึงวันรับกลับเข้าทำงาน
และข้อ.2 การปรับขึ้นค่าจ้างประจำปีและการจ่ายโบนัสแก่จำเลยที่
14 และที่ 15 นั้น ให้โจทก์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือสภาพการจ้างที่ปฏิบัติต่อกัน
ตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 54-55/2548 ลงวันที่ 28
เมษายน 2548 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547 เวลา 7.30 นาฬิกา
จำเลยที่ 15 วานให้นาง พ. ลูกจ้างของโจทก์
ถ่ายเอกสารใบสำคัญการจดทะเบียนของสหภาพแรงงาน ใบสมัครสมาชิกสหภาพแรงงาน
และข้อบังคับสหภาพแรงงาน รวมทั้งกฎหมายน่ารู้เกี่ยวกับกิจการสหภาพแรงงานจำนวน 280
แผ่น โดยใช้กระดาษสำหรับถ่ายเอกสารและเครื่องถ่ายเอกสารของโจทก์
จำเลยที่ 15 แจ้งต่อ นาง พ. ให้เก็บเอการไว้ก่อนจะมาเอาเอกสารเมื่อเลิกงาน
เหตุที่จำเลยที่ 15 ไม่นำเอกสารไปถ่ายภายนอกสำนักงานโจทก์เพราะขาดเงินทุนเนื่องจากขณะนั้นเพิ่งเริ่มก่อตั้งสหภาพแรงงาน
ในการดำเนินการถ่ายเอกสารดังกล่าวก็เพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงาน จำเลยที่ 15
จึงเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าสามารถใช้กระดาษและเครื่องถ่ายเอกสารของโจทก์ได้
ขณะนาง พ. ถ่ายเอกสาร นาง ฤ. ลูกจ้างของโจทก์อยู่ด้วย
การถ่ายเอสการกระทำโดยเปิดเผย โจทก์ไม่มีระเบียบข้อบังคับควบคุมเกี่ยวกับการถ่ายเอกสาร
โจทก์จัดเก็บกระดาษไว้สำหรับถ่ายเอกสารในตู้ซึ่งไม่ได้ใส่กุญแจ แล้ววินิจฉัยว่า
โจทก์ไม่มีข้อบังคับว่าด้วยการถ่ายเอกสารของโจทก์ ทั้งขณะถ่ายเอกสาร นาง ฤ.
ลูกจ้างโจทก์อยู่ด้วย เมื่อผู้จัดการโรงงานโจทก์ยึดเอกสารไป จำเลยที่ 14 ทำหนังสือทวงคืนเอกสารเพราะเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของสหภาพแรงงาน
พฤติกรรมของจำเลยที่ 14 และที่ 15 ไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่
14 และที่ 15 มีเจตนาลักทรัพย์ของโจทก์ผู้เป็นนายจ้าง
ขณะเลิกจ้างจำเลยที่ 14 และที่ 15
อยู่ในระหว่างที่ลูกจ้างของโจทก์ร่วมกันยื่นข้อเรียกร้องต่อโจทก์ และมีการร่วมกันจัดตั้งสหภาพแรงงาน
โจทก์จำเลยที่ 14 และที่ 15 เป็นแกนนำและเป็นผู้แทนเจรจาฝ่ายลูกจ้างกับฝ่ายโจทก์
ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 พิจารณาข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่าเหตุที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่
14 และที่ 15 เพราะโจทก์ไม่พอใจที่โจทก์จำเลยที่
14 และที่ 15
เป็นแกนนำลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องและจัดตั้งสหภาพแรงงาน เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม
ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518
และมีคำสั่งให้โจทก์รับจำเลยที่ 14 และที่ 15 กลับเข้าทำงาน และจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันที่ถูกเลิกจ้างถึงวันกลับเข้าทำงาน
คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 มีคำสั่งข้อ.2 ให้โจทก์ปฏิบัติเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้างประจำปีและจ่ายเงินโบนัสแก่จำเลยที่
14 และที่ 15 ตามหลักเกณฑ์หรือสภาพการจ้างที่ปฏิบัติต่อกันนั้น
เป็นการพิจารณาสั่งตามความในตอนท้ายของบทบัญญัติมาตรา 41 (4)
ที่ให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สั่งให้นายจ้างปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามสมควร
บทบัญญัติดังกล่าวหาได้จำกัดความว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
คำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 45-46/2548
จึงชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า
การกระทำของจำเลยที่ 14 และที่ 15
เป็นการลักทรัพย์นายจ้างอันเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างหรือไม่ เห็นว่า
การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของผู้อื่นโดยทุจริต
หากเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยถือวิสาสะที่เข้าใจโดยสุจริตว่าสามารถทำได้
ไม่ถือว่ามีเจตนาทุจริต การที่จำเลยที่ 15 วานให้นาง
พ. ถ่ายเอกสารเกี่ยวกับสภาพแรงงานโดยใช้กระดาษและเครื่องถ่ายเอกสารของโจทก์นั้น
ก็กระทำในสถานที่ทำงานของโจทก์โดยเปิดเผย
และเป็นการนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อกิจการสหภาพแรงงาน จำเลยที่ 14 และที่ 15
ย่อมเข้าใจว่าสามารถใช้กระดาษและเครื่องถ่ายเอกสารเพื่อใช้ในกิจการของสหภาพแรงงานได้
การกระทำของจำเลยที่ 14 และที่ 15 เป็นการกระทำโดยถือวิสาสะ ไม่มีเจตนาทุจริต
จึงไม่เป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่าคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
ที่ 54-55/2548 ที่สั่งให้โจทก์รับจำเลยที่ 14 และที่ 15
กลับเข้าทำงานพร้อมทั้งจ่ายค่าเสียหายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา
41 (4) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518
หาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นไม่
เพราะข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจออกคำสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติหลายอย่างตามที่เห็นสมควรตามแต่กรณี
กล่าวคือคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายแก่ลูกจ้างได้
เพื่อเป็นการบรรเทาผลร้ายที่ลูกจ้างได้รับจากการกระทำอันไม่เป็นธรรม
ส่วนการที่โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งว่า จำเลยที่ 14 และที่ 15
ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิในเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างประจำปีและโบนัสจึงมี่มีค่าเสียหายส่วนนี้
ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522
มาตรา 45 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ส่วนนี้
ดังนั้นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงมีอำนาจสั่งให้โจทก์รับจำเลยที่ 14 และที่ 15
กลับเข้าทำงาน จ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันถูกเลิกจ้างถึงวันรับกลับเข้าทำงาน
ปรับขึ้นค่าจ้างประจำปีและจ่ายโบนัสแก่จำเลยที่ 14 และที่ 15 ตามหลักเกณฑ์หรือสภาพการจ้างปฏิบัติต่อกันได้
คำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 44-45/2548
จึงชอบด้วยข้อกฎหมายแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน