ฎีกาที่ 9832-9836/2555
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า
โจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างของจำเลย และเป็นกรรมการลูกจ้างของจำเลย
วันที่ 3
ตุลาคม 2550 โจทก์ทั้งห้าได้ลงชื่อในช่องรับเงินในเอกสารแผ่นที่
2 ของเอกสาร ล.1 ถึง ล.5 เมื่อพิจารณาตามเอกสารหมาย ล.1
ถึง ล.5 ปรากฏว่าจำเลยได้ยกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ทั้งห้า จำเลยได้จ่ายค่าชดเชย
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้าง ค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำปี โดยมีบันทึกท้ายหนังสือดังกล่าวว่าได้แจ้งให้โจทก์ทั้งห้าแล้ว
แม้มีเพียงโจทก์ที่ 5
ลงชื่อรับทราบ ส่วนโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 4
ไม่ประสงค์จะลงนามต่อหน้าพยาน แต่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งห้าได้ลงชื่อในช่องผู้รับเงิน
แม้หนังสือดังกล่าวจะระบุว่าเป็นหนังสือเลิกสัญญาจ้าง
ย่อมฟังได้ว่าฝ่ายจำเลยเสนอยกเลิกสัญญาจ้างโดยยินยอมจ่ายเงินตามที่เสนอและโจทก์ทั้งหน้าตกลงรับเงินตามที่จำเลยเสนอ
จึงพออนุโลมถือว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยตกลงกันให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงโดยโจทก์ทั้งห้ายินยอมรับเงินตามที่จำเลยเสนอ
กรณีจึงไม่ใช่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าว่า
การที่โจทก์ทั้งห้าลงชื่อรับเงินไปจากจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1
ถึง ล.5 เป็นการตกลงยินยอมให้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยสิ้นสุดลง
ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 52
แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 หรือไม่
เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นกรรมการลูกจ้างของจำเลย
ฉะนั้น จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน
การที่จำเลยทำหนังสือยกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ทั้งห้าตามเอกสารหมาย
ล.1 ถึง ล.5 โดยยินยอมให้สิทธิประโยชน์ซึ่งโจทก์ทั้งห้ามีสิทธิได้รับตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายคุ้มครองแรงงานนั้น
เป็นการยกเลิกสัญญาจ้างเพียงฝ่ายเดียว
และการที่โจทก์ทั้งห้าลงชื่อรับเงินสิทธิประโยชน์ดังกล่าวในเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5 โดยไม่ปรากฏข้อความใดๆ ว่าโจทก์ทั้งห้าขอลาออกจากการเป็นลูกจ้าง
จึงยังไม่ถือได้ว่าโจทก์ทั้งห้ายินยอมลาออกด้วยความสมัครใจ
การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ทั้งห้าลงชื่อในช่องผู้รับเงินในเอกสารหมาย
ล.1 ถึง ล.5 พออนุโลมว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน
โดยตกลงว่าให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าฟังขึ้น จำเลยต้องรับโจทก์ทั้งห้ากลับเข้าทำงานต่อไป
แต่เมื่อระหว่างเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าไม่ได้ทำงานให้กับจำเลย จึงนำเอาระยะเวลาดังกล่าวรวมเข้าเป็นอายุงานด้วยไม่ได้
คงนับอายุงานใหม่ต่อจากอายุงานเดิมที่คำนวณถึงวันก่อนวันเลิกจ้างนั้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งห้าต่อไปว่า
จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างนับแต่วันที่
4 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะรับโจทก์ทั้งห้ากลับเข้าทำงานหรือไม่ เห็นว่า
โจทก์ทั้งห้าบรรยายฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเนื่องมาจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อันเป็นการตั้งประเด็นโดยตรงว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน
จึงเป็นการขอให้ชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งประพาณิชย์
มาตรา 575 เมื่อจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงานเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ทั้งห้าจึงเรียกร้องค่าเสียหายระหว่างที่ถูกเลิกจ้างจากจำเลยได้ แต่การกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้เพียงใดเป็นดุลพินิจอันเป็นข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาไม่สามารถกำหนดเองได้ จึงย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
พิพากษากลับ
ให้จำเลยรับโจทก์ทั้งหน้ากลับเข้าทำงานต่อไปในตำแหน่งหน้าที่ อัตราค่าจ้าง และสวัสดิการไม่ต่ำกว่าเดิม
กับให้นับอายุงานใหม่ของโจทก์ทั้งห้าติดต่ออายุงานที่คำนวณถึงวันที่ 3
ตุลาคา 2550 ซึ่งเป็นวันก่อนเลิกจ้าง
และให้ศาลแรงงานกลางพิจารณากำหนดค่าเสียหายในช่วงระยะเวลาเลิกจ้างและพิพากษาประเด็นนี้ใหม่ตามรูปคดี